fbpx

เบาหวานแฝง หรือ เบาหวาน 1.5 (LADA) คืออะไร? โรคที่หลายคนเป็นแต่ไม่รู้ตัว

เบาหวานแฝง หรือ เบาหวาน 1.5 (LADA) คืออะไร? โรคที่หลายคนเป็นแต่ไม่รู้ตัว

เวลาพูดถึงโรคเบาหวาน คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงแค่ 2 แบบ คือ

  • เบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดในเด็กหรือวัยรุ่น ร่างกายไม่สร้างอินซูลินเลย ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต

  • เบาหวานชนิดที่ 2 มักเกิดในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนอ้วน หรือมีพฤติกรรมกินหวานบ่อยๆ ร่างกายสร้างอินซูลินได้ แต่ไม่ค่อยตอบสนอง

แต่ความจริงแล้วยังมีอีกชนิดหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้จัก นั่นคือ เบาหวานแฝงในผู้ใหญ่ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า เบาหวาน 1.5 หรือ LADA (ลาด้า)

เบาหวาน LADA คืออะไร?

เบาหวาน LADA ย่อมาจาก Latent Autoimmune Diabetes in Adults แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ก็คือ “เบาหวานชนิดภูมิคุ้มกันตัวเองที่เกิดในผู้ใหญ่”

โรคนี้เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน โดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว และอาการจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ได้รุนแรงเหมือนเบาหวานชนิดที่ 1 ทำให้หลายคนถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่

จึงถูกเรียกว่า “เบาหวานชนิดที่ 1.5” เพราะมันอยู่กึ่งกลางระหว่างชนิดที่ 1 กับชนิดที่ 2

ลักษณะของเบาหวาน LADA เป็นยังไง?

  • มักเกิดในผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป

  • คนไข้รูปร่างไม่อ้วน บางคนผอมเลยด้วยซ้ำ

  • ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานก็สามารถเป็นได้

  • อาการเริ่มต้นไม่รุนแรง เช่น น้ำตาลสูงเล็กน้อย ยังไม่ต้องฉีดอินซูลิน

  • เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะสร้างอินซูลินน้อยลงเรื่อยๆ จนต้องใช้อินซูลินเหมือนเบาหวานชนิดที่ 1

ทำไมเบาหวาน LADA ถึงวินิจฉัยผิดบ่อย?

เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า “เบาหวานผู้ใหญ่ = เบาหวานชนิดที่ 2”
หมอบางคนก็อาจยังไม่ได้ตรวจแอนติบอดีเฉพาะทาง จึงให้กินยาเม็ดแบบคนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ยากลุ่มนี้ใช้ได้แค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น หลังจากนั้นร่างกายจะผลิตอินซูลินน้อยลงเรื่อยๆ แล้วต้องเปลี่ยนมาใช้อินซูลินฉีดในที่สุด

อาการที่ควรสงสัยว่าอาจเป็นเบาหวานแฝง (LADA)

  • น้ำหนักลดแบบไม่ได้ตั้งใจ

  • กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย

  • รู้สึกเหนื่อย เพลียง่าย

  • ระดับน้ำตาลในเลือดสูง แต่ไม่ตอบสนองต่อยาเม็ด

  • ไม่มีไขมันพอกตับ ไม่อ้วน แต่เบาหวานขึ้น

  • เริ่มกินยาแล้วไม่ดีขึ้นใน 6-12 เดือน

ถ้ามีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม เพราะอาจไม่ใช่เบาหวานธรรมดา

วิธีตรวจหาเบาหวาน LADA

การตรวจเบาหวาน LADA ต้องเจาะเลือดแบบเฉพาะทาง เช่น

  • ตรวจ GAD antibodies (แอนติบอดีต่อเซลล์เบต้าในตับอ่อน)

  • ตรวจ C-peptide ว่าร่างกายยังสร้างอินซูลินได้มากแค่ไหน

  • ตรวจน้ำตาลสะสม (HbA1c) เพื่อดูระดับน้ำตาลเฉลี่ยย้อนหลัง

  • ตรวจร่วมกับประวัติครอบครัวและสุขภาพทั่วไป

หากพบว่ามี GAD antibodies และ C-peptide ต่ำ ก็มีแนวโน้มว่าเป็นเบาหวาน LADA

รักษาเบาหวาน LADA ยังไง?

เบาหวาน LADA จำเป็นต้องรักษาแบบเฉพาะเจาะจงมากกว่าชนิดอื่นๆ เพราะเป็นโรคที่เปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี

  • ระยะเริ่มต้น: แพทย์อาจให้ยากินลดน้ำตาลในเลือดไปก่อน

  • ระยะต่อมา: ต้องเริ่มใช้อินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล

  • ระยะยาว: ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงของหวาน ของมัน และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ผู้ป่วยควรเจาะน้ำตาลเองบ่อยๆ หรือใช้เครื่องวัดน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (CGM) จะช่วยให้จัดการโรคได้ดีขึ้น

สรุปง่ายๆ

หัวข้อ เบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวาน LADA (1.5) เบาหวานชนิดที่ 2
อายุที่เป็น เด็ก/วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่
สาเหตุ ภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ตับอ่อน เหมือนชนิดที่ 1 แต่เกิดช้า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
การใช้ยา ต้องใช้อินซูลินทันที เริ่มด้วยยากิน แล้วเปลี่ยนเป็นอินซูลิน ส่วนใหญ่อยู่ได้ด้วยยากิน
วินิจฉัยยากไหม ชัดเจน วินิจฉัยผิดบ่อย วินิจฉัยง่าย

หากคุณสงสัยว่าอาจเป็น LADA ต้องทำยังไง?

  1. ไปตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) และ HbA1c

  2. ขอให้หมอตรวจ GAD antibodies และ C-peptide เพิ่ม

  3. ถ้าเป็นเบาหวานแฝงจริง ต้องวางแผนการรักษาระยะยาว

  4. หมั่นวัดน้ำตาล คุมอาหาร และอย่าลืมติดตามผลกับแพทย์สม่ำเสมอ


เบาหวาน LADA อาจดูไม่น่ากลัวในช่วงแรก เพราะอาการไม่ชัด แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ตาเบลอ ไตเสื่อม หรือเส้นเลือดตีบได้ในอนาคต เพราะน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ ทำลายอวัยวะโดยที่เราไม่รู้ตัว

ถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการเข้าข่าย อย่าชะล่าใจ ควรไปตรวจกับแพทย์เพื่อหาคำตอบที่แน่ชัด


สินค้าแนะนำ