ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นความผิดปกติของการนอนหลับที่หลายคนเข้าใจผิด และยังมีตำนานและความเข้าใจผิดมากมายที่ยังคงอยู่ ซึ่งตำนานเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง เรามาเจาะลึกตำนานเหล่านี้ในรายละเอียดกัน:

  • ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 1: ก็แค่เสียงกรนดังธรรมดาเท่านั้นเอง

ความจริง: การกรนเป็นอาการทั่วไปของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะเพียงอย่างเดียว ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเกี่ยวข้องกับการหยุดหายใจซ้ำๆ ในระหว่างนอนหลับ ซึ่งเรียกว่าภาวะหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ภาวะเหล่านี้อาจส่งผลให้ระดับออกซิเจนลดลง นำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาหัวใจ ความดันโลหิตสูง ความเหนื่อยล้าในเวลากลางวัน การขาดสมาธิ และความหงุดหงิด

  • ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 2: เป็นภาวะที่พบได้เฉพาะในคนอ้วนเท่านั้น

ความจริง: แม้ว่าโรคอ้วนจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกรูปร่าง ทุกวัย และทุกเพศ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินเท่านั้น ที่จริงแล้ว มันยังสามารถเกิดขึ้นกับเด็กได้ด้วย ประมาณ 3% ของเด็กเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ และบางครั้งก็ได้รับการวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคอื่น เช่น โรคสมาธิสั้น (ADHD)

  • ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 3: การนอนในห้องแล็บเป็นวิธีเดียวที่จะได้รับการวินิจฉัยโรค

ความจริง: แม้ว่าการตรวจการนอนหลับในห้องปฏิบัติการจะเป็นวิธีหนึ่งในการวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่การทดสอบที่บ้านแบบพกพา เช่น การทดสอบการนอนหลับที่บ้าน (Home Sleep Testing หรือ HST) กำลังได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทดสอบที่บ้านเหล่านี้รบกวนน้อยกว่าและสามารถให้ข้อมูลการวินิจฉัยที่มีค่าได้ ผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่ควรท้อแท้กับความเข้าใจผิดที่ว่าการตรวจในห้องปฏิบัติการเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น

  • ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 4: ไม่กรนก็ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ความจริง: แม้ว่าการกรนจะเป็นตัวบ่งชี้ทั่วไปของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่ก็ไม่ใช่สัญญาณที่จำเป็นเสมอไป บางคนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจไม่กรนเสียงดัง แต่กลับแสดงอาการอื่นๆ เช่น ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเจ็บคอหรือคอแห้ง ความดันโลหิตสูง ปวดหัวในตอนเช้า หรือรู้สึกง่วงนอนมากเกินไปในเวลากลางวัน อาการเหล่านี้ รวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับ ควรนำมาพิจารณาเมื่อประเมินความเป็นไปได้ของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

  • ความเชื่อผิดๆ ข้อที่ 5: ภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่ใช่ภาวะร้ายแรง

ความจริง: ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นภาวะที่ควรได้รับการใส่ใจ มันสามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่โดยรวมของคุณ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจส่งผลร้ายแรงได้ ดังนั้น การได้รับการวินิจฉัยอย่างทันท่วงทีเพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับความเป็นจริงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การล้างความเข้าใจผิด และการส่งเสริมความตระหนักรู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้นและการจัดการที่มีประสิทธิภาพของความผิดปกติของการนอนหลับที่พบได้บ่อยนี้ หากใครสงสัยว่าตนเองมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับหรือมีอาการ ที่เกี่ยวข้อง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับการประเมินและการวินิจฉัยอย่างครอบคลุม

 

กระบวนการทำ Sleep Test ทุกขั้นตอนที่คุณต้องรู้
การทำ Sleeptest (ทดสอบการนอนหลับ)

ดังนั้น แนะนำให้ตรวจ Sleeptest หรือตรวจการนอนหลับ เพื่อหาโรคหยุดหายใจในขณะนอนหลับ จะถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ที่สุด การทำสลีปเทส เป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบปัญหาการนอนหลับที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การนอนกรน หรือปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ การทำ Test Sleep ไม่เพียงแต่ช่วยวินิจฉัยโรค แต่ยังช่วยในการกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมอีกด้วย ในบทความนี้เราจะอธิบายขั้นตอนต่างๆ ของการทำ Sleep Test ตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนทำ การเก็บข้อมูลระหว่างการนอนหลับ และการวิเคราะห์ผลลัพธ์

โดย Elife มีบริการทำ Sleeptest จะเป็นประเภทที่ 3 เรียกว่า Home Sleeptest เพื่อคัดกรองผู้ที่มีภาวะโรคหยุดหายใจในขณะนอนหลับเพื่อหาค่าการหยุดหายใจ โดยมีค่าบริการที่ไม่สูง ได้ผลรวดเร็ว และสามารถบอกความรุนแรงของโรคได้ โดย Elife มีผู้เชี่ยวชาญด้านโรคการนอนหลับ และมีคุณหมอ โรคการนอนหลับโดยตรง เป็นผู้วินิจฉัยโรค

Home Sleeptest Typ3

ข้อดีและข้อจำกัดของการทำ Sleep Test ที่บ้าน

  1. ความสะดวกสบาย: การทำสลีปเทสที่บ้านช่วยให้คุณสามารถนอนหลับในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ซึ่งอาจช่วยลดความกังวลหรือความไม่สบายใจที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับที่ห้องปฏิบัติการ
  2. ความเป็นส่วนตัว: คุณสามารถทำการตรวจการนอนหลับได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นส่วนตัว ไม่มีความจำเป็นต้องพบเจ้าหน้าที่หรืออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
  3. ค่าใช้จ่ายที่ลดลง: sleep test ราคา ในการทำที่บ้านมักจะถูกกว่าการทำในห้องปฏิบัติการ เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ห้องปฏิบัติการหรือการดูแลจากเจ้าหน้าที่
  4. ข้อจำกัดในบางกรณี: แม้ว่าการทำ Sleep Test ที่บ้านจะมีข้อดีหลายประการ แต่ในบางกรณี เช่น การตรวจสอบปัญหาการนอนหลับที่ซับซ้อน อาจต้องการการตรวจที่ละเอียดกว่าที่อุปกรณ์ที่บ้านสามารถบันทึกได้ ซึ่งในกรณีเหล่านี้ การทำ Test Sleep ในห้องปฏิบัติการอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

การประเมินผล และการติดตามผลลัพธ์จาก Sleep Test

หลังจากที่คุณได้ทำ Sleep Test ไม่ว่าจะที่บ้านหรือในห้องปฏิบัติการ ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปวิเคราะห์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลนี้จะช่วยในการวินิจฉัยและกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

การแปลผลข้อมูลที่บันทึกได้

  1. การวิเคราะห์คลื่นสมอง: ข้อมูลคลื่นสมองที่บันทึกได้จะถูกวิเคราะห์เพื่อดูรูปแบบการนอนหลับของคุณ การเข้าสู่ระยะต่าง ๆ ของการนอนหลับ เช่น REM และ Non-REM และการตื่นขึ้นระหว่างคืน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เข้าใจลักษณะการนอนหลับของคุณมากขึ้น
  2. การประเมินการหายใจและระดับออกซิเจน: ข้อมูลการหายใจและระดับออกซิเจนในเลือดจะช่วยในการวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แพทย์จะดูว่ามีช่วงหยุดหายใจหรือไม่ และความรุนแรงของภาวะนี้เป็นอย่างไร
  3. การวินิจฉัยปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ: นอกจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับแล้ว ข้อมูลที่ได้จากการทำ Sleep Test ยังสามารถใช้ในการวินิจฉัยปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ เช่น โรคขาอยู่ไม่สุข (Restless Leg Syndrome) หรือการนอนกรนที่รุนแรง