การตรวจ Sleep Test หรือการตรวจการนอนหลับ เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) รวมถึงปัญหาการนอนหลายรูปแบบ เช่น นอนกรน เหนื่อยง่าย ตื่นเช้าแล้วไม่สดชื่น หรือมีภาวะง่วงระหว่างวันเวลาทำงาน ผลตรวจการนอนหลับ (Sleep Test หรือ Polysomnography) เป็นการประเมินคุณภาพการนอนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า ถ้าเคยตรวจเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลยังสามารถใช้อ้างอิงได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ควรใช้แทนผลล่าสุด เพราะสภาพร่างกายและพฤติกรรมการนอนของเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
@elifegear Sleep Test 10ปี ยังใช้ได้ไหม?? #elife #cpap #sleeptest #yuwell #นอนกรน ♬ Mozart Minuet with violin(815356) – 松本一策
ทำไมผล Sleep Test เก่า 10 ปีถึงไม่แม่นยำแล้ว?
1. สภาพร่างกายเปลี่ยนไปตามอายุ
อายุที่เพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เปลี่ยน หรือปัญหาสุขภาพ เช่น ความดัน ไทรอยด์ หรือกรดไหลย้อน ล้วนมีผลต่อการหายใจขณะหลับ ทำให้อาการ OSA (Obstructive Sleep Apnea) เปลี่ยนไปจากเดิม
2. อาการอาจแย่ลงหรือดีขึ้นได้
บางคนอาจมีอาการหยุดหายใจขณะหลับมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่บางคนที่ลดน้ำหนักหรือปรับพฤติกรรมการนอน อาการอาจดีขึ้น ดังนั้นผลเมื่อ 10 ปีก่อนจึงไม่สะท้อนสภาพปัจจุบัน
3. เทคโนโลยี Sleep Test ปัจจุบันแม่นยำกว่า
เครื่องมือและมาตรฐานการตรวจในปัจจุบันก้าวหน้าขึ้นมาก สามารถวิเคราะห์คุณภาพการนอน รายละเอียดของลมหายใจ และระดับออกซิเจนได้ละเอียดกว่าเมื่อหลายปีก่อน
4. สำคัญต่อผู้ใช้เครื่อง CPAP
หากคุณใช้เครื่อง CPAP ผลการตรวจเก่าจะทำให้แรงดันที่ตั้งไว้ไม่เหมาะสมกับร่างกายในตอนนี้ อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรือทำให้รู้สึกอึดอัดขณะใช้เครื่อง
ควรตรวจ Sleep Test บ่อยแค่ไหน?
โดยทั่วไป แนะนำให้ อัปเดตผลการตรวจทุก 3–5 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากมีอาการเปลี่ยน เช่น
- กรนดังขึ้น
- ง่วงมากผิดปกติ
- ปวดหัวตอนตื่น
- หยุดหายใจระหว่างหลับ (คนใกล้ชิดสังเกตได้)
- น้ำหนักขึ้น/ลงมาก



