โรคแทรกซ้อนจากการนอนกรน ภัยเงียบที่อาจทำลายสุขภาพ โดยไม่รู้ตัว…

โรคแทรกซ้อนจากการนอนกรน ภัยเงียบที่อาจทำลายสุขภาพ โดยไม่รู้ตัว…

โรคแทรกซ้อนจากการนอนกรน ภัยเงียบที่อาจทำลายสุขภาพ โดยไม่รู้ตัว…

โรคแทรกซ้อนจากการนอนกรน หลายคนคิดว่าเสียงกรนเป็นเพียงปัญหากวนใจคนข้าง ๆ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง การนอนกรนสามารถเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) อาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนร้ายแรงได้

การนอนกรนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในช่องคอและเพดานอ่อน ขณะหายใจผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ยิ่งทางเดินหายใจแคบมาก เสียงกรนก็จะยิ่งดังและความเสี่ยงโรคก็สูงขึ้นตาม

สาเหตุหลักของการนอนกรน

  1. การอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ปัญหาสำคัญคือการตีบแคบของทางเดินหายใจจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ต่อมทอนซิลโต ลิ้นไก่ยาว หรือเนื้อเยื่อในลำคอหนา
  2. โครงสร้างร่างกายและพันธุกรรม คนที่มีกรามเล็ก คางถอย หรือโครงสร้างกระดูกใบหน้าบางลักษณะ จะมีโอกาสเกิดการกรนได้ง่ายกว่า
  3. พฤติกรรมการใช้ชีวิต น้ำหนักตัวเกิน การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน และการนอนหงาย ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อคอหย่อนและทำให้เกิดเสียงกรนมากขึ้น

สัญญาณเตือนว่า การกรนของคุณ อาจอันตราย

  1. กรนเสียงดังมาก และดังเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ เสียงกรนที่ดัง ผิดปกติหรือเปลี่ยนจังหวะอย่างรวดเร็ว อาจหมายถึงมีภาวะทางเดินหายใจตีบหรืออุดกั้นขณะหลับ โดยเฉพาะหากเสียงกรนสลับกับช่วงเงียบ แปลว่าร่างกายอาจหยุดหายใจชั่วขณะ
  1. มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ คุณหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ระหว่างนอนหลับ แล้วสะดุ้งตื่นหรือหายใจเฮือก ภาวะนี้เสี่ยงทำให้สมองและหัวใจขาดออกซิเจนเรื้อรังได้
  1. ตื่นมารู้สึกเหนื่อย สมองเบลอ ง่วงกลางวัน แม้จะนอนครบ 7–8 ชั่วโมง แต่ยังรู้สึกไม่สดชื่น เพราะคุณไม่ได้เข้าสู่ภาวะหลับลึก (Deep Sleep) อาการนี้สัมพันธ์กับการสะดุดของออกซิเจนขณะหลับฃ
  1. ปวดหัวหลังตื่นนอน สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ การปวดหัวหลังตื่นนอน เกิดจากระดับออกซิเจนในเลือดลดลงขณะนอนหลับ หากเกิดบ่อยครั้งร่วมกับการกรนเสียงดัง ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test
  1. หายใจสะดุดหรือแน่นหน้าอกระหว่างนอน ผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ บางคนจะรู้สึกเหมือน หายใจไม่ทันตอนดึก หรือรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศ แล้วตื่นขึ้นกลางดึกบ่อย
  1. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย การนอนหลับที่ไม่สมบูรณ์แบบทำให้ระบบฮอร์โมนผิดปกติ หลายคนที่กรนแบบอันตรายมักมีอารมณ์ไม่คงที่ ซึมเศร้า หรือมีปัญหาความจำ
  1. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจกระทบการควบคุมฮอร์โมนหิว (Leptin และ Ghrelin) ส่งผลให้ กินเก่งขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น วนเป็นวงจรเรื้อรัง
  1. มีโรคประจำตัวที่สัมพันธ์กับการนอนกรน สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ การมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับการนอน เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ หากมีโรคเหล่านี้ร่วมกับการกรน ควรตรวจวินิจฉัยทันที เพราะเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนสูง

นอนกรนไม่ใช่เรื่องเล็ก! ส่งผลเสียและอันตรายกว่าที่คิด - โรงพยาบาลวิมุต

โรคแทรกซ้อนจากการนอนกรนที่พบบ่อย…

  1. ความดันโลหิตสูง การหยุดหายใจซ้ำ ๆ ทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานมากขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง
  2. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) หัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจน ทำให้เสี่ยงหัวใจล้มเหลวและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  3. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ภาวะนี้เพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดและหลอดเลือดตีบ
  4. เบาหวานชนิดที่ 2 การนอนหลับไม่เพียงพอรบกวนการควบคุมน้ำตาลในเลือด
  5. ภาวะซึมเศร้า การนอนหลับคุณภาพต่ำสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิต
  6. สมรรถภาพทางเพศลดลง การไหลเวียนเลือดและฮอร์โมนถูกรบกวน

ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตจากการนอนกรน

การนอนกรนไม่ได้ส่งผลแค่เสียงดังรบกวนคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนที่นอนกรนโดยตรงอย่างมาก ลองนึกภาพว่าคุณตื่นขึ้นมาแต่ละวันรู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม ทั้งที่จริง ๆ นอนครบชั่วโมงตามปกติ นี่คือผลกระทบหลักที่เกิดขึ้น

  • อ่อนเพลียและง่วงนอนระหว่างวัน
  • เพราะการนอนหลับมีคุณภาพต่ำ แม้จะนอนนานแค่ไหน ร่างกายก็ไม่ได้ฟื้นฟูเต็มที่ ส่งผลให้ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ตาล้า และมีพลังงานต่ำตลอดวัน
  • สมาธิและความจำลดลง
  • สมองที่ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะทำให้การจดจำและโฟกัสลดลง งานที่เคยทำได้ดี กลับผิดพลาดง่ายขึ้น และอาจส่งผลเสียต่อการเรียนหรือการทำงาน
  • อารมณ์แปรปรวนและซึมเศร้า
  • การนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ระบบประสาทและฮอร์โมนในร่างกายถูกรบกวน ยังเสี่ยงต่อการเกิดอารมณ์เหวี่ยงง่าย เครียดสะสม และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในระยะยาว
  • ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคม
  • เสียงกรนดังและหยุดหายใจขณะหลับทำให้คนข้างเคียงนอนไม่หลับ นำไปสู่ความเครียดและความไม่เข้าใจกันในครอบครัว นอกจากนี้ คนที่นอนกรนอาจรู้สึกอายหรือวิตกกังวลจนเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม
  • ประสิทธิภาพการทำงานลดลงและเสี่ยงอุบัติเหตุ
  • ความง่วงนอนกลางวันส่งผลให้เกิดความผิดพลาดและลดประสิทธิภาพในการทำงานหรือขับขี่ยานพาหนะ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนถนนหรือในที่ทำงาน

เสี่ยงปัญหาสุขภาพระยะยาว

เมื่อคุณภาพชีวิตแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยง่ายขึ้น และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา

งานวิจัยในประเทศไทยเกี่ยวกับภาวะนอนกรนและโรคเบาหวานชนิดที่ 2

การศึกษาวิจัยจาก DMS Journal ที่จัดทำขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 2022 พบว่า คนที่มีภาวะนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยวัดระดับน้ำตาลในเลือดและประเมินภาวะดื้ออินซูลิน พบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 15-20% และมีดัชนีมวลกาย (BMI) ที่สูงกว่า รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานได้เร็วขึ้น

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า OSA ก่อให้เกิดความเครียด ออกซิเดชัน (Oxidation) ในร่างกายและภาวะอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความต้านทานต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

ตรวจการนอนหลับ Sleep Test เพื่อวินิจฉัยโรคแทรกซ้อนจากการนอนกรน

 

เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยประเมินความรุนแรงของภาวะนอนกรนและ OSA โดยจะวัดข้อมูล เช่น การหายใจ ชีพจร ระดับออกซิเจนในเลือด และการเคลื่อนไหวขณะนอน เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตรงจุดกับปัญหาของแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ

สรุป

การนอนกรนเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ การตรวจและรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคต

สัญญาณเตือนว่า การกรนของคุณ อาจอันตราย

  1. กรนเสียงดังมาก และดังเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ เสียงกรนที่ดัง ผิดปกติหรือเปลี่ยนจังหวะอย่างรวดเร็ว อาจหมายถึงมีภาวะทางเดินหายใจตีบหรืออุดกั้นขณะหลับ โดยเฉพาะหากเสียงกรนสลับกับช่วงเงียบ แปลว่าร่างกายอาจหยุดหายใจชั่วขณะ
  1. มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ คุณหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ระหว่างนอนหลับ แล้วสะดุ้งตื่นหรือหายใจเฮือก ภาวะนี้เสี่ยงทำให้สมองและหัวใจขาดออกซิเจนเรื้อรังได้
  1. ตื่นมารู้สึกเหนื่อย สมองเบลอ ง่วงกลางวัน แม้จะนอนครบ 7–8 ชั่วโมง แต่ยังรู้สึกไม่สดชื่น เพราะคุณไม่ได้เข้าสู่ภาวะหลับลึก (Deep Sleep) อาการนี้สัมพันธ์กับการสะดุดของออกซิเจนขณะหลับฃ
  1. ปวดหัวหลังตื่นนอน สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ การปวดหัวหลังตื่นนอน เกิดจากระดับออกซิเจนในเลือดลดลงขณะนอนหลับ หากเกิดบ่อยครั้งร่วมกับการกรนเสียงดัง ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test
  1. หายใจสะดุดหรือแน่นหน้าอกระหว่างนอน ผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ บางคนจะรู้สึกเหมือน หายใจไม่ทันตอนดึก หรือรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศ แล้วตื่นขึ้นกลางดึกบ่อย
  1. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย การนอนหลับที่ไม่สมบูรณ์แบบทำให้ระบบฮอร์โมนผิดปกติ หลายคนที่กรนแบบอันตรายมักมีอารมณ์ไม่คงที่ ซึมเศร้า หรือมีปัญหาความจำ
  1. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจกระทบการควบคุมฮอร์โมนหิว (Leptin และ Ghrelin) ส่งผลให้ กินเก่งขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น วนเป็นวงจรเรื้อรัง
  1. มีโรคประจำตัวที่สัมพันธ์กับการนอนกรน สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ การมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับการนอน เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ หากมีโรคเหล่านี้ร่วมกับการกรน ควรตรวจวินิจฉัยทันที เพราะเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนสูง