การสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า เป็นของแสลงคนเป็นโรคเบาหวาน
ภาวะก่อนเบาหวานคือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ยังไม่สูงพอที่จะถือว่าเป็นโรคเบาหวานได้ จำนวนผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะก่อนเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ผู้คนจำนวนมากเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน “งานวิจัยอื่นๆ แสดงให้เห็นว่านิโคตินในบุหรี่แบบดั้งเดิมทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและขัดขวางการดูดซึมกลูโคสในเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะก่อนเบาหวานหรือโรคเบาหวานในผู้สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคตินอาจมีผลต่ออินซูลินในลักษณะเดียวกัน”
เรามาดูกันว่าถ้าสูบบุรี-หรือสูบบุหรี่ไฟฟ้า จะส่งผลร้ายต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ?
- ฟันของคุณ ถ้าเป็นเบาหวานและสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า จะมีโอกาสเป็นโรคเหงือกเพิ่มขึ้น ฟันจะหลุดร่วงเร็วขึ้นและมากขึ้น
- ระดับน้ำตาลในเลือด การสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ควบคุมเบาหวานได้ยากขึ้น สาเหตุจากนิโคตินและสารเสพติดอื่น ๆ ในควันบุหรี่ขัดขวางการออกฤทธิ์ของอินซูลินในร่างกายของคุณ
- ไตของคุณ การสูบบุหรี่ / บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น คนที่เป็นโรคเบาหวานและสูบบุหรี่ ไตจะยิ่งวายเร็วขึ้น ผลจากความเสียหายของเส้นเลือดไตที่จะเกิดจาการสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า
- การไหลเวียนโลหิตของคุณ ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักจะมีปัญหาเลือดไปเลี้ยงขาไม่ดีอยู่แล้ว การสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้การไหลเวียนโลหิตในเส้นเลือดเล็กช้าลง ทำให้เป็นแผลเบาหวานที่เท้าง่ายขึ้น ติดเชื้อที่แผลง่ายขึ้นและแผลหายยากมีโอกาสที่จะถูกตัดขา
- ไขข้อของคุณ ถ้าเป็นเบาหวาน การสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้าจะเพิ่มความเสี่ยงที่ไขข้อ จะทำให้เคลื่อนไหวได้น้อยลง
- ตาของคุณ คุณสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า และเป็นเบาหวานจะมีปัญหาในการมองเห็น (ตามัว) เร็วขึ้น และรุนแรงขึ้น ต้อกระจกจะเกิดเร็วขึ้น
- หัวใจของคุณ นิโคตินจากควันบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและสารพิษในควันบุหรี่ ทำให้ระดับของออกชิเจนในเลือดคุณลดลง หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ถ้าเป็นโรคเบาหวาน และสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสที่จะเสียชีวิตจากหัวใจวายกะทันหัน ความเสียงเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 3 เท่า
- ปลายประสาทของคุณ ถ้าเป็นโรคเบาหวาน การสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า จะทำให้ปลายประสาททั่วร่างกายเสื่อมเร็วขึ้น ทำให้เกิดอาการชาตามที่ต่าง ๆ
- สมรรถภาพทางเพศของคุณ โรคเบาหวานเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการเกิดสมรรถภาพทางเพศเสื่อมอยู่แล้ว เนื่องจากทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า
คนที่เคยสูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองเป็นประจำ มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นเบาหวาน โดยผู้สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ 30-40% ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่สูบต่อวัน ยิ่งสูบมากยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานมากขึ้น ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ใหม่ ๆ จะมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงขึ้นในช่วง 3 ปีแรก แต่ความเสี่ยงนี้จะลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป การเลิกสูบช่วยให้เซลล์ตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้นเรื่อย ๆ และหลังจากเลิกสูบบุหรี่ไปนานถึง 12 ปี ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานจะลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
แต่การตรวจเช็คน้ำตาล อย่างเป็นประจำ และต่อเนื่อง จะช่วยให้รับรู้ถึงค่าน้ำตาลในเลือด เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองได้ ควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย หรือทำ Activity ในแต่ละวันได้โดยนวัตกรรม หรืออุปกรณ์ตัวนี้ เรียกว่า CGM Continuous Glucose Monitoring หมายถึง เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้เซ็นเซอร์ติดใต้ผิวหนังเพื่อวัดระดับน้ำตาลในของเหลวระหว่างเซลล์ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งข้อมูลไปยังแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ป่วยและแพทย์สามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลได้อย่างต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ช่วยในการปรับแผนการรักษา ควบคุมอาหาร และป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไปได้
การทำงานของ CGM
-
เซ็นเซอร์:ติดตั้งไว้ที่บริเวณแขนหรือหน้าท้อง ทำการวัดระดับกลูโคสในของเหลวระหว่างเซลล์
-
การส่งข้อมูล:เซ็นเซอร์ส่งสัญญาณข้อมูลไปยังเครื่องอ่าน, สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ
-
การแจ้งเตือน:หากระดับน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป ระบบจะแจ้งเตือนล่วงหน้าประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้ป่วยเตรียมตัวรับมือได้อย่างทันท่วงที
-
การวิเคราะห์ข้อมูล:ช่วยให้เห็นแนวโน้มและรูปแบบของระดับน้ำตาล ช่วยให้วางแผนการรักษา ปรับการรับประทานอาหาร และกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
-
ตรวจวัดต่อเนื่อง : ให้ข้อมูลระดับน้ำตาลได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเจาะปลายนิ้วบ่อยๆ
-
การแจ้งเตือน : ช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) และน้ำตาลสูง (Hyperglycemia)
-
การจัดการโรคเบาหวาน : ช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์เห็นภาพรวมของระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้วางแผนการรักษา ปรับยา และเลือกอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ที่เหมาะกับการใช้งาน CGM คือใคร
1. กลุ่มที่ ควรใช้เป็นประจำ (ใช้งานต่อเนื่อง)
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ต้องฉีดอินซูลินหลายครั้งต่อวัน
- ผู้ที่มีประวัติ ภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรงหรือน้ำตาลต่ำโดยไม่รู้ตัว
- เด็ก วัยรุ่น และหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน (ต้องการการควบคุมใกล้ชิด)
- ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลแกว่งมาก ควบคุมยาก
ควรใช้ CGM ต่อเนื่อง เพื่อช่วยติดตามและปรับแผนการรักษาอย่างใกล้ชิด
2. กลุ่มที่ อาจใช้เป็นช่วง ๆ ตามความจำเป็น
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เริ่มใช้อินซูลิน
- ผู้ที่ต้องการประเมินพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และผลต่อระดับน้ำตาล
- ผู้ป่วยที่ต้องการเก็บข้อมูลระยะสั้นเพื่อปรับยา/ปรับพฤติกรรม
- ใช้เป็นช่วง ๆ (เช่น 1–2 รอบเซนเซอร์ต่อเดือน/ต่อไตรมาส) เพื่อเก็บข้อมูลและให้แพทย์ใช้ปรับการรักษา
3. กลุ่มผู้ป่วยที่มีค่า HbA1c เบี่ยงเบน (น้ำตาลสะสม หรือ น้ำตาลเฉลี่ย 3 เดือน)
กลุ่มที่ค่า HbA1c ไม่ตรงกับความจริง
- HbA1c ต่ำ แต่ยังมีน้ำตาลตกบ่อย เหมาะกับผู้ที่เหมือนคุมได้ แต่จริง ๆ แอบมีภาวะน้ำตาลต่ำแฝงอยู่
- HbA1c ปกติ แต่ระดับน้ำตาลแกว่งขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดวัน เหมาะกับผู้ที่ดูเหมือนควบคุมได้ แต่จริง ๆ มีความเสี่ยงแทรกซ้อนจากความผันผวน
- HbA1c สูง ทั้งที่พยายามคุมอาหารและกินยาตามแพทย์สั่งแล้ว เหมาะกับผู้ที่ดูแลตัวเองดี แต่ยังไม่รู้ว่าน้ำตาลสูงช่วงไหน (เช่น หลังอาหาร หรือกลางคืน)
4. กลุ่มที่อาจไม่จำเป็นต้องใช้เป็นประจำ
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีด้วยยาเม็ด อาหาร และการออกกำลังกาย
- ผู้ที่ตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว (SMBG) แล้วได้ค่าคงที่ สม่ำเสมอ
- อาจใช้เฉพาะกรณีแพทย์ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ช่วงที่มีการปรับยา
ผู้ป่วยเบาหวานที่เจาะน้ำตาลปลายนิ้วอยู่แล้ว ทำไมยังต้องติดเครื่องตรวจน้ำตาลแบบต่อเนื่อง?
- เครื่องตรวจน้ำตาลแบบต่อเนื่องสามารถบอกแนวโน้ม (trend arrow) การขึ้นลงของระดับน้ำตาลซึ่งไม่สามารถบอกได้โดยการเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว มีข้อดีคือช่วยในการปรับยา อาหารและการออกกำลังกายได้แบบเรียลไทม์
- มีแอพพลิเคชั่นเตือน (alarm) ให้ดื่มน้ำหวานทันทีที่น้ำตาลเริ่มตก แม้ในขณะนอนหลับอยู่
- มีระบบดูแลและเฝ้าระวัง (remote monitoring) จากทีมสหสาขา และใช้ข้อมูลที่ได้จากเครื่องวางแผนปรับพฤติกรรมแบบเรียลไทม์ เพื่อควบคุมค่าระดับน้ำตาลสะสม (estimated HbA1C หรือ glucose management indicator; GMI) ให้ดีขึ้นได้ใน 2 สัปดาห์