fbpx

บ้านพักคนชราหรือ…อยู่บ้านจนชรา?

บ้านพักคนชราหรือ…อยู่บ้านจนชรา?

“บ้านพักคนชรา “ หากบ้านใครที่มีผู้สูงอายุอาจจะคุ้นเคย รู้สึกกังวล หรือรู้สึกสบายใจขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของครอบครัวนั้นๆ แต่ส่วนใหญ่ทัศนคติของคนไทยที่มีต่อบ้านพักคนชรายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เพราะเป็นสังคมที่ถูกหล่อหลอมมาด้วยคำว่า “ลูกกตัญญู” การส่งพ่อแม่ไปอยู่นั้นคือการทอดทิ้งและเห็นแก่ตัว เพราะด้วยปัจจุบันบ้านพักคนชราในไทยยังมีตัวเลือกน้อยในต่างจังหวัดแทบไม่มีเลย….

แต่บ้านพักคนชราเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศที่มีวัฒนธรรมอยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยว ที่เมื่อลูกหลานโตแล้วก็จะออกไปหาบ้านอยู่กันเอง พ่อแม่จึงอยู่กันตามลำพังจนเข้าสู่วัยชรา และเมื่อไม่สามารถดูแลตัวเองได้อีกต่อไป ลูกหลานจะส่งพวกเขาไปอยู่บ้านพักคนชรา (nursing home) ซึ่งส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยและทันสมัยไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ เตียงไฟฟ้า รถเข็นวีลแชร์ ต่างๆที่สำคัญมีคนดูแลใกล้ชิดตลอดเวลาสามารถดูแลความเป็นอยู่ของคนชราให้มีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายได้นานที่สุด

ตัวอย่างระบบดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น…ที่ญี่ปุ่นเชื่อว่าหนุ่มสาวเป็นแรงงานสำคัญในภาคการผลิตและส่งผลต่อการเจริญเติบโตในด้านเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าหนุ่มสาวพวกนี้ต้องทำงานไปพร้อมกับดูแลพ่อแม่คงมีพลังงานที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงมีการเก็บภาษีจากคนทำงานวัยหนุ่มสาวหรือจัดตั้งระบบ Pool ทรัพยากร มีการจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่นประจำอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ  ใครที่ดูแลตัวเองได้ก็อยู่บ้านมาหาเจ้าหน้าที่นัดเป็นระยะๆหรือจัดให้เจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสุขอนามัย/สุขภาพออยู่สม่ำเสมอ

บางท้องถิ่นมีการทำระบบให้ผู้สูงอายุสั่งอาหารเป็นรายเดือน มีเจ้าหน้าที่ทำอาหารที่เหมาะสมมาส่งให้ที่บ้านทุกมื้อ ระหว่างส่งอาหารก็มีการเช็คสุขภาพของผู้สูงอายุดูว่าโอเคหรือไม่ ถ้าเจ็บป่วยจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็จะส่งผู้สูงอายุไปอยู่ศูนย์ดูแลของเทศบาลต่อไปนั่นเอง

แต่สาเหตุหลักที่ลูกหลานส่งผู้สูงอายุไปบ้านพักคนชราเพราะส่วนใหญ่ไม่มีเวลาดูแลหรือทำงานอยู่ไกลบ้าน ปัญหาครอบครัว ลูกหลาน ลูกสะใภ้ หรือผู้สูงอายุเองที่เป็นคนโสดไม่มีลูกหลาน ที่สำคัญในเรื่องของค่าใช้จ่ายไม่ใช่ว่าทุกที่จะสามารถเข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชราได้ ดังนั้นบ้านพักคนชราอาจจะถูกใจใครบางคนหรือเป็นคุกสำหรับใครหลายๆคนได้เช่นเดียวกันแต่เชื่อว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ก็ยังอยากอยู่ที่บ้านกับลูกหลานหรือบ้านที่คุ้นชินมากกว่าอยู่บ้านพักชราอยู่ดี…

อลิซ คุณยายอายุ 84 ปี ที่ร่างกายค่อนข้างแข็งแรงเมื่อเทียบกับอายุ เธอดูแลตัวเองและอาศัยอยู่ในบ้านคนเดียวหลังจากที่สามีเสียชีวิตไปหลายปีก่อนหน้า แต่หลังจากหกล้ม 3-4 ครั้ง และขับรถพุ่งชนสวนของคนข้างบ้าน ซ้ำด้วยการถูกคนที่เธอจ้างมาตัดกิ่งไม้ขู่กรรโชกทรัพย์ ลูกๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าอลิซควรย้ายไปอยู่บ้านพักคนชราที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและมีเจ้าหน้าที่ดูแลเธอได้ตลอดเวลา

หลังจากย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชราได้ไม่นาน อลิซก็เริ่มแยกตัวออกจากคนอื่น ไม่ร่าเริงเหมือนเคย เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถอีกต่อไป เธอต้องย้ายออกจากบ้านที่เธออยู่มาตลอดทั้งชีวิต อลิซเลิกทำอาหารและเริ่มมีอาการซึมเศร้า เธอไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าสาเหตุของความทุกข์ของเธอมาจากอะไร เธอรู้แค่ว่า “มันไม่ใช่บ้าน”

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เมื่ออลิซหกล้มสะโพกหัก จึงทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นตลอดเวลา มีเจ้าหน้าที่มาคอยเปลี่ยนเสื้อ อาบน้ำและทำทุกอย่างให้ เธอต้องอยู่กับเพื่อนร่วมห้องที่เธอไม่ได้เลือก ไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น เธอบอกว่าเหมือน ถูกจำคุกเพียงเพราะเป็นคนแก่

เมื่อถามความรู้สึกของคนชราส่วนใหญ่ที่อยู่ในบ้านพักพบว่าพวกเขารู้สึกเหมือนถูกพรากจากชีวิตของตัวเอง และถูกขังอยู่ในบ้านพักคนชราที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบที่ทำให้สุขภาพจิตของพวกเขาย่ำแย่ลงกว่าเดิม สุขภาพที่ทรุดโทรมอยู่แล้วจึงยิ่งเสื่อมถอยด้วยอัตราที่เร็วขึ้น สวนทางกับวัตถุประสงค์ของบ้านพักคนชราเหล่านั้น ดูเหมือนว่าการมีสถานที่ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นบ้านอย่างแท้จริงนั้น สำคัญกับมนุษย์ไม่แพ้สิ่งอำนวยความสะดวกและปัจจัยอื่นๆ

ข้อมูลจาก : choolofchangemakers.com

ผิดไหม ? ที่ให้พ่อแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรา

จริงๆเราต้องแยกก่อนว่า บ้านพักคนชรากับสถานสงเคราะห์คนชรานั้นไม่เหมือนกัน ถามว่าผิดไหม…ไม่ผิดหรอกค่ะถ้าเป็นความต้องการของผู้สูงอายุเองโดยที่เราไม่ไปบังคับ เพราะหากเราดูไม่มีเวลาดูแลหรือดูแลเขาไม่ดีพอกว่าการออกไปทำงาน ก็จะทำให้ผู้สูงอายุอาจรู้สึกเหงา ภาวะเคลียดได้และที่สำคัญกลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนเปราะบาง ขณะที่เราออกไปทำงานเราไม่รู้เลยว่าจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับท่านบ้าง…แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าไปอยู่บ้านพักคนชราได้บอกเลยว่าราคาค่อนข้างแรงพอตัวเลยสำหรับในช่วงเศรษฐิจแบบนี้

นอกจากในเรื่องความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแล้วผู้สูงอายุอาจจะได้พบปะกับผู้สูงอายุคนอื่นๆและมีเพื่อนแก้เหงาอีกด้วย สุดท้ายไม่ว่าการจะอยู่ที่บ้านกับครอบครัวหรืออยู่บ้านพักคนชราไม่มีข้อไหนผิดเลย อีไลฟ์อยากให้คุณลองช่างน้ำหนักข้อดีข้อเสียโดยเริ่มจากภาวะจิตใจของผู้สูงอายุเป็นหลัก เพราะเหนือสิ่งใดความรู้สึกยังเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด การให้ท่านไปอยู่ในที่ๆปลอดภัย มีการดูแลที่ทั่วถึงจากหมอและพยาบาลอาจไม่ดีเท่าที่คุณดูแลท่านด้วยตัวเองนะคะ